1. การเลือกคอนกรีตผสมเสร็จ
  • กำหนดประเภทงาน: 
    เลือกกำลังอัดและค่าการยุบตัวให้เหมาะสมกับลักษณะโครงสร้าง เช่น งานพื้นทั่วไปใช้กำลังอัด 240-280 KSC ขณะที่งานที่ต้องการความแข็งแรงพิเศษอาจใช้กำลังอัดสูงกว่า. 
  • เลือกจากผู้ผลิตที่น่าเชื่อถือ: 
    สั่งซื้อจากบริษัทที่ได้มาตรฐานและมีการควบคุมคุณภาพที่ดี. 
2. การเตรียมพื้นที่เท 
  • กำจัดสิ่งกีดขวาง: 
    เก็บวัชพืช รากไม้ เศษดิน โคลน และสารอินทรีย์ออกจากพื้นที่ที่จะเท.
  • ปรับระดับและบดอัด: 
    ปรับระดับดินให้แน่นและบดอัดให้ได้ความหนาที่ต้องการ (ประมาณ 10-15 ซม. สำหรับงานทั่วไป).
  • ราดน้ำบนผิวดิน: 
    ราดน้ำบนพื้นผิวดินก่อนเทคอนกรีตเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำในคอนกรีตถูกดูดซับออกไป.
3. ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเท 
  • ช่วงเช้าหรือเย็น: เทคอนกรีตในช่วงเช้าตรู่ (05:00-09:00 น.) หรือช่วงเย็น (15:00-18:00 น.) เพื่อหลีกเลี่ยงอากาศร้อนจัด.
4. การทำงานและควบคุมคุณภาพ
  • การรับคอนกรีต: 
    ใช้คอนกรีตให้หมดภายใน 1 ชั่วโมงหลังจากรับคอนกรีต เนื่องจากหลังจากการสั่งซื้อ คอนกรีตผสมเสร็จจะเริ่มแข็งตัว. 
  • ห้ามเติมน้ำ: 
    ห้ามเติมน้ำหรือสารใดๆ เพิ่มเติมในคอนกรีตสดเด็ดขาด เพราะจะทำให้คุณภาพคอนกรีตลดลงและบริษัทผู้ผลิตจะปฏิเสธการรับประกัน. 
  • การบ่มคอนกรีต: 
    บ่มคอนกรีตทันทีหลังจากการแต่งผิวหน้า หรือเมื่อคอนกรีตเริ่มแข็งตัว. 
    • วิธีบ่ม: รักษาความชุ่มชื้นของผิวคอนกรีตตลอดเวลา เช่น การคลุมด้วยกระสอบเปียก การแช่ในน้ำ หรือการคลุมด้วยพลาสติก. 
    • ระยะเวลาบ่ม: บ่มอย่างน้อย 7 วัน เพื่อให้ปฏิกิริยาไฮเดรชั่นสมบูรณ์และคอนกรีตมีกำลังอัดตามที่ออกแบบไว้. 
5. ข้อควรระวังเพิ่มเติม
  • ป้องกันตัวเอง: 
    ควรสวมชุดป้องกันผิวหนัง ดวงตา และเสื้อผ้า เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับคอนกรีตสด ซึ่งมีฤทธิ์เป็นด่างรุนแรงและอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังได้. 
  • หลีกเลี่ยงการรบกวน: 
    ในระหว่างการบ่ม ควรหลีกเลี่ยงการสั่นสะเทือน การกระแทก การรับน้ำหนักมากเกินไป และการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างรวดเร็ว.